ความปลอดภัยในการทำงานในเหมืองนั้นเป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้เลย ด้วยอันตรายมากมายหลายอย่างที่มีโอกาสเกิดขึ้น มาตรการความปลอดภัยและการปฏิบัติตามกฎข้อบังคับที่เข้มงวดจึงจำเป็นอย่างมาก ดังนั้น เพื่อเป็นกรณีศึกษา ในวันนี้เราจะพาคุณไปรู้จักกับอุบัติเหตุภายในเหมืองที่ใหญ่และสร้างผลกระทบที่สุดในประวัติศาสตร์
Benxihu Colliery Disaster (1942)
- เปิ่นซี มณฑลเหลียวหนิง ประเทศจีน
- ผู้เสียชีวิต ประมาณ 1,549 ราย
ภัยพิบัติจากเหมือง Benxihu Colliery ถือเป็นภัยพิบัติเหมืองแร่ที่อันตรายที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยเกี่ยวข้องกับการระเบิดของฝุ่นถ่านหิน และไฟไหม้ในเหมืองถ่านหินและเหล็กในเวลาต่อมาด้วย อุบัติเหตุครั้งนี้รุนแรงขึ้นจากการปฏิบัติการของเหมืองภายใต้การยึดครองของญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยคนงานจำนวนมากถูกบังคับใช้แรงงานภายใต้สภาพที่โหดร้าย การระเบิดรุนแรงมากจนปิดกั้นทางเข้าและการระบายอากาศของเหมือง ไม่เพียงทำให้มีผู้เสียชีวิตจากแรงระเบิดในทันที แต่ยังทำให้ผู้ที่ยังรอดอยู่หายใจไม่ออกเนื่องจากขาดออกซิเจนและก๊าซพิษ
Courrières Mine Disaster (1906)
- Courrières ประเทศฝรั่งเศส
- ผู้เสียชีวิต ประมาณ1,099 ราย
ภัยพิบัติครั้งนี้ถือเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์การขุดของยุโรป มีสาเหตุมาจากการระเบิดของฝุ่นถ่านหินครั้งใหญ่ ซึ่งจุดชนวนอุโมงค์เหมืองใต้ดินยาวกว่า 100 กิโลเมตร สาเหตุที่แท้จริงของการระเบิดยังไม่ชัดเจน แต่เชื่อกันว่าเกิดจากตะเกียงของคนขุดแร่
เครือข่ายอุโมงค์ขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อถึงกันทำให้การระเบิดแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดการทำลายล้างและการสูญเสียชีวิตเป็นวงกว้าง ภัยพิบัติดังกล่าวนำไปสู่ความไม่สงบด้านแรงงาน การประท้วงของแรงงาน และการปรับปรุงกฎหมายความปลอดภัยในเหมืองแร่ในฝรั่งเศส
Senghenydd Colliery Disaster (1913)
- Senghenydd Wales ประเทศสหราชอาณาจักร
- ผู้เสียชีวิต ประมาณ 439 ราย
เป็นภัยพิบัติจากการทำเหมืองที่อันตรายที่สุดในสหราชอาณาจักร เกิดขึ้นที่ Universal Colliery ในเมือง Senghenydd เนื่องจากมีเทนระเบิดตามมาด้วยการระเบิดของฝุ่นถ่านหิน เหมืองแห่งนี้มีประวัติการละเมิดความปลอดภัยและปัญหาก๊าซมีเทนมาแล้วอย่างยาวนานแต่ก็ไม่ได้รับการแก้ไข
ซึ่งมีส่วนทำให้เกิดภัยพิบัติครั้งนี้ โศกนาฏกรรมครั้งนี้นำไปสู่การปรับปรุงกฎหมายความปลอดภัยในการทำเหมืองที่เข้มงวดยิ่งขึ้นในสหราชอาณาจักรในปี 1911
Mitsubishi Hojyo Coal Mine Disaster (1914)
- คิวชู ประเทศญี่ปุ่น
- ผู้เสียชีวิต ประมาณ 687
การระเบิดของก๊าซที่เหมืองถ่านหินมิตซูบิชิ โฮโจ เป็นภัยพิบัติในเหมืองที่อันตรายที่สุดในญี่ปุ่นจนถึงปัจจุบัน การระเบิดนั้นสันนิษฐานว่าน่าจะเกิดจากการจุดไฟของก๊าซมีเทน ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่พบได้บ่อยในเหมืองถ่านหิน ภัยพิบัติครั้งนี้ตอกย้ำถึงอันตรายของก๊าซมีเทนในการทำเหมือง และนำไปสู่มาตรการความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมเหมืองแร่ของญี่ปุ่น
Dhanbad Coal Mine Disaster (1965)
- ดันแบด ประเทศอินเดีย
- ผู้เสียชีวิต ประมาณ 375 ราย
เหตุระเบิดในเหมืองถ่านหิน Dhori ใกล้ Dhanbad ทำให้เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ที่โหมกระหน่ำเป็นเวลาหลายวัน ภัยพิบัติครั้งนี้ตอกย้ำถึงความจำเป็นในการปรับปรุงมาตรฐานและกฎระเบียบด้านความปลอดภัยในเหมืองถ่านหินของอินเดีย ซึ่งในขณะนั้นมักมีการบังคับใช้ไม่ดีนัก หลังภัยพิบัติครั้งนี้ อินเดียได้ดำเนินการเพื่อเพิ่มความปลอดภัยของเหมือง รวมถึงการจัดทำระเบียบการตรวจสอบและการฝึกอบรมที่เข้มงวดมากขึ้น
Oaks Colliery Explosion (1866)
- บาร์นสลีย์ ประเทศอังกฤษ
- ผู้เสียชีวิต ประมาณ 383 ราย
การระเบิดติดต่อกันหลายครั้งที่เกิดจากการจุดระเบิดจากก๊าซมีเทน ทำให้เกิดภัยพิบัติในเหมืองที่อันตรายที่สุดครั้งหนึ่งในสหราชอาณาจักร การระเบิดครั้งแรกถูกสันนิษฐานว่าเกิดจากการจุดชนวนฝุ่นถ่านหิน ทำให้เกิดการระเบิดทำลายล้างและส่งผลกระทบถึงไปถึงพื้นที่อยู่อาศัยของประชาชนในเวลาต่อมา ภัยพิบัติที่โรงงาน Oaks Colliery เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการระบายอากาศที่มีประสิทธิภาพและการตรวจสอบก๊าซในเหมืองเพื่อป้องกันการสะสมของเพลิงไหม้
Coalbrook Mine Disaster (1960)
- Free State แอฟริกาใต้
- ผู้เสียชีวิต ประมาณ 437 ราย
ในภัยพิบัติที่เหมือง Coalbrook พื้นที่ส่วนใหญ่ของเหมืองพังทลายลงมา ทำให้คนงานเหมือง 437 คนไม่สามารถหลบหนีได้ ภัยพิบัติครั้งนี้ยังคงเป็นเหตุการณ์ที่อันตรายที่สุดในประวัติศาสตร์การขุดของแอฟริกาใต้ และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงมาตรฐานความปลอดภัยของเหมืองอย่างกว้างขวาง
สุดท้ายนี้ เราขอแนะนำ หลักสูตร การอบรม JSA (Job Safety Analysis) เป็นกระบวนการที่ใช้ใประเมินความเสี่ยงและความปลอดภัยของงานที่ทำในสถานที่ทำงาน โดยการศึกษาและวิเคราะห์ขั้นตอนของงานเพื่อระบุความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นและหาวิธีป้องกันหรือลดความเสี่ยงนั้นให้มีประสิทธิภาพ
ดังนั้น หากนายจ้างจัดให้มีการอบรม JSA ซึ่งจะมีความสำคัญอย่างมากในการส่งเสริมการทำงานที่ปลอดภัย และช่วยให้ทุกคนที่เข้าทำงานในสถานที่ทำงานมีความเข้าใจและตระหนักถึงความเสี่ยงทางด้านความปลอดภัย นอกจากนี้ยังช่วยในการพัฒนามาตรการป้องกันและวิธีการปฏิบัติที่ปลอดภัยในการทำงาน เพื่อให้การดำเนินงานสามารถรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย